>>เมื่อชีวิตคือการเดินทางที่ไม่มีสิ้นสุด เรายังคงเดินทางเก็บความประทับใจกันต่อไปกับทริปในฝันของใครหลายๆ คน…โดยมี “ซิซซ์เล่อร์” (ประเทศไทย) เป็นผู้มอบประสบการณ์ชีวิตที่ล้ำค่าให้กับลูกค้า พาไปร่วมสัมผัสความพิเศษและเซอร์ไพรส์สุดๆ ทั้งดำน้ำชมแนวปะการังที่สมบูรณ์ที่สุด งดงามเกินบรรยาย ว่ายน้ำเฉียดปลาทะเลนานาชนิด ที่เมืองแคนส์ (Cairns) และต่อด้วยการพาไปสัมผัสความศิวิไลซ์ของอดีตเมืองหลวงของออสเตรเลียอย่าง “ซิดนี่ย์” ในแบบที่ไม่เหมือนใคร…ในทริป “Sizzler Adventurous Cairns & Sydney“
หลังจากคราวที่แล้วที่เราได้เล่าถึงประสบการณ์การเดินทางที่เมืองแคนส์ (Cairns) เมืองตากอากาศสำคัญทางตอนเหนือของประเทศออสเตรเลียที่มีแหล่งท่องเที่ยวครบทั้งทะเล ภูเขา และสีสันของความเป็นเมืองตากอากาศสุดแสนทันสมัยกันไปแล้ว แต่การเดินทางของเรายังไม่เสร็จสิ้นเพราะคราวนี้เราได้เดินทางต่อไปยัง “ซิดนีย์” เมืองที่มีลมเย็น ฟ้าใสและโอเปราเฮาส์รอเราอยู่!!
และสิ่งที่เราฝันไว้ว่าจะพบก็เป็นจริง หลังจากใช้เวลาเดินทางกว่า 3 ชั่วโมงจากเมืองแคนส์มาสู่ซิดนีย์ ทันทีที่เรามาถึงอุณหภูมิก็แตกต่างจากที่เมืองแคนส์ที่ที่เราเพิ่งจากมาอย่างเห็นได้ชัด ทำเอาคณะคนไทยอย่างเราต้องรีบคุ้ยเสื้อกันหนาวออกมาใส่ก่อนที่จะเดินทางต่อ และในระหว่างนั้นเองที่เราเดินเล่นอยู่ในสนามบิน เราก็ไปเจอเข้ากับตู้ที่ให้บริการอยู่ในห้องน้ำหญิงซึ่งเป็นไอเดียที่ดี รับรองว่าต้องถูกใจสาวๆ นักเดินทางหลายๆ คน เพราะมันคือตู้อัตโนมัติจำหน่ายอุปกรณ์เสริมสวยขั้นพื้นฐานของผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นลิปสติก ลิปกลอส มาสคาร่า โลชั่น แม้กระทั่งน้ำหอมขวดเล็กๆ ที่ใช้สำหรับพกพาคุณก็สามารถหยอดเหรียญมาประโคมความงามให้เด้ง ชนิดที่ว่าถ้าคุณเยินลงมาจากเครื่อง แล้วมาเจอเจ้าเครื่องนี้ คุณก็สามารถเดินสวยปิ๊งออกจากสนามบินโดยไร้ร่องรอยอาการเจ็ตแล็กเลยทีเดียว!
เพลิดเพลินกับเจ้าเครื่องบิวตี้อัตโนมัติมาพอสมควร ก็ได้เวลาเลกเชอร์! อุ๊ย…ฟังความรู้จากคุณพี่เมี่ยง ไกด์สาวผู้แสนคล่องแคล่วของเรา เพื่อเป็นความรู้ประดับทริปนี้กันบ้าง โดยคุณไกด์เล่าให้เราฟังถึงประวัติความเป็นมาของประเทศออสเตรเลียและเมืองซิดนีย์แห่งนี้ว่า สมัยก่อนเชื่อกันว่าออสเตรเลียเป็นส่วนหนึ่งของทวีปเอเชีย แต่เกิดการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก ทำให้ออสเตรเลียแยกออกมาเป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดถึง 7.7 ล้านตารางกิโลเมตร โดยคนที่อาศัยอยู่ที่นี่เป็นชนพื้นเมืองที่มีมากกว่า 600 เผ่า มีวัฒนธรรม ความเชื่อแตกต่างกัน ตราบเมื่อกัปตันคุกส์ ที่เดินทางมาจากประเทศอังกฤษได้ขึ้นมาบนเกาะแห่งนี้เมื่อปี 1670 และกลับไปทูลกับพระราชินีว่ามีการค้นพบดินแดนใหม่ พระราชินีจึงรับสั่งให้มีการจัดขบวนเรือมา 3 ลำบรรทุกคนที่เป็นนักโทษและผู้คุมจำนวนกว่า 1,500 ชีวิต โดยการนำของอาร์เธอร์ ฟิลิป มาประกาศเขตแดนนี้ว่าเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ทำให้ชนเผ่าพื้นเมืองต้องล่าถอยเข้าไปอยู่ข้างในแผ่นดินลึกๆ ชาวอังกฤษจึงยึดพื้นที่ในเขตนี้
จะว่าไปแล้วซิดนีย์เป็นเมืองที่มีชัยภูมิดี เพราะมีทั้งน้ำ มีอ่าว อากาศดี ไม่มีเรื่องของภัยธรรมชาติ อีกทั้งยังติดอันดับ 1 ใน 10 เมืองน่าอยู่ของโลก…ซิดนีย์เคยเป็นเมืองหลวงอันดับแรกของประเทศออสเตรเลียที่ถูกประกาศแต่งตั้งในวันที่ 26 มกราคม 1788 ว่าซิดนีย์เป็นเมืองหลวงของออสเตรเลียซึ่งอยู่ในอาณานิคมของอังกฤษ โดยชื่อ “ซิดนีย์” มาจาก “นายพลซิดนีย์” ซึ่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยในตอนนั้น
ปัจจุบันซิดนีย์เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในออสเตรเลีย มีประชากรประมาณ 4-5 ล้านคน คนซิดนีย์จะเรียกตัวเองว่า ซิดนีย์ไซเดอร์ เพราะ 30% ของคนที่นี่จะเป็นคนต่างชาติไม่ว่าจะเป็น ลาว เวียดนาม ไทย จีน เกาหลีซึ่งพากันมาตั้งรกรากตั้งแต่ช่วงปี 1850 ในยุคขุดทอง แต่จะว่าไปแล้วในยุคนั้นทางออสเตรเลียก็เปิดโอกาสให้กับชาวต่างชาติที่มาลงทุนและสร้างความเจริญให้กับที่นี่พอสมควร ในระหว่างกำลังเคลิ้มๆ กับเลกเชอร์เรื่องราวของประเทศออสเตรเลียและเมืองซิดนีย์คุณไกด์ก็ทำการส่งรหัสถึงพวกเราว่า “พรุ่งนี้ 7..8..9 แล้วเราจะไปซิดนีย์ทาวเวอร์กัน เตรียมเสื้อกันหนาวให้พร้อมเพราะลมแรงมาก!!”….นั่นไง…ลมเย็นและฟ้าใสที่เรารอคอยมาถึงแล้ว
วันต่อมาเราก็ได้เดินทางไปสู่ “ซิดนีย์ ทาวเวอร์ อาย” (Sydney Tower Eye) หอคอยชมวิวสูง 278 เมตร สูงที่สุดในดินแดนซีกโลกใต้ ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็เห็นหอคอยนี้เด่นเป็นสง่าอยู่ใจกลางเมือง เราใช้เวลาจากชั้นล่างขึ้นสู่ชั้นบนสุดซึ่งเป็นจุดชมวิว (Observation Deck) เพียง 40 วินาทีด้วยลิฟต์ความเร็วสูง เราก็ได้เห็นเมืองทั้งเมืองแบบ 360 องศา ทั้งฮาร์เบอร์ บริดจ์ โรงละครซิดนีย์ โอเปรา เฮาส์ ท่าเรือ อ่าวซิดนีย์
และแล้วเวลาแห่งความตื่นเต้นก็มาถึงเพราะเรากำลังจะออกไปท้าทายความกล้ากับ สกาย วอล์ก (Sky Walk) ด้วยการเดินชมวิวเมืองซิดนีย์บริเวณระเบียงด้านนอกบนยอดหอคอยแบบไร้สิ่งใดกั้น!! ตอนแรกเราเองก็หวั่นใจอยู่ไม่ใช่น้อยเพราะความสูงขนาดนั้นแค่มองลงไปขาก็อ่อนแล้ว แต่เจ้าหน้าที่มาคอยตบไหล่ให้ความมั่นใจกับเราว่าไม่ต้องห่วงเพราะที่นี่มีมาตรฐานความปลอดภัยให้กับผู้ที่รักความท้าทายทุกคน โดยก่อนเดินสู่ด้านนอกจะต้องเปลี่ยนเครื่องแต่งกายเป็นชุดกันลม มีโซ่คล้องเอวเชื่อมกับราวเหล็กเพื่อป้องกันการร่วงหล่นรวมทั้งมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลอย่างดี นอกจากเห็นวิวที่ไม่มีอะไรมาบดบังแล้ว ยังได้รับประสบการณ์ตื่นเต้นไม่เหมือนใครอีกด้วย
ความตื่นเต้นก็ยังไม่หมดเพียงแค่นั้นเพราะเรากำลังจะไปพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ไปดูชีวิตสัตว์พื้นเมืองและไปกระทบไหล่บุคคลผู้มีชื่อเสียง หลายคนอาจมองว่าไม่เห็นน่าตื่นเต้นตรงไหน เมืองไทยก็มี! เห็นด้วยค่ะว่าเมืองไทยก็มี แต่สิ่งที่เราไปเห็นนั้นทำให้เราเข้าใจระบบการจัดการที่เป็นระเบียบ และสร้างมาเพื่อประชาชนโดยเฉพาะจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นทางเดินที่อำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวทุกประเภท รวมไปถึงคนพิการ การจัดหมวดหมู่การแสดง การสอดแทรกความรู้ให้กับผู้ที่มาชมอย่างเนียนๆ ทำเอาเราเดินเพลินลืมเวลา ซึ่งพิพิธภัณฑ์ทั้งสามที่เราเอ่ยถึงมานั้นตั้งอยู่ในย่านดาร์ลิ่ง ฮาร์เบอร์ เริ่มตั้งแต่ซิดนีย์ อควาเรียม พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำขนาดใหญ่ที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
ที่นี่เราได้เห็นชีวิตสัตว์โลกใต้ทะเลของออสเตรเลียกว่า 5,000 ชนิด แล้วก็เข้าไปเดินเล่นในอุโมงค์ขนาดใหญ่ที่มีฉลามขาว ปลากระเบนตัวขนาดมหึมาว่ายวนเวียนโชว์พุงให้เราดู หรือจะดูสีสันของปลาจากเขตร้อนที่ธรรมชาติได้มอบความสวยงามเฉพาะตัวมาให้ และยังมีการจัดแสดงแนวหินปะการังที่มีชีวิตในเกรต แบร์ริเออร์ รีฟ ไว้ให้นักท่องเที่ยวและชาวซิดนีย์ได้ชื่นชมกันอีกด้วย
หมดจากอควาเรียมเราก็เดินต่อไปที่ “Wildlife Park Sydney” ที่เราจะได้ไปเจอกับสัตว์พี้นเมืองของประเทศออสเตรเลียที่ใช้ชีวิตอยู่ตามธรรมชาติและกลมกลืนกับความเป็นอยู่ของชาวอะบอริจินส์ชนเผ่าพื้นเมือง ไม่ว่าจะเป็นจิงโจ้ วอลลาบี้ นกอีมู หรือแม้แต่จระเข้ยักษ์ ก็ยังให้เราได้ดูกันแบบใกล้ๆ ผ่านตู้กระจกขนาดใหญ่ แต่สัตว์ที่ทำให้เราขำในความน่ารักของมันมากที่สุดก็คือ โคอาล่า
มีโอกาสเจอโคอาล่าหลายครั้งและทุกครั้งที่เจอมันก็จะอยู่ในสภาพสะลึมสะลือตลอดเวลา ซึ่งคุณไกด์บอกกับเราว่าโคอาล่าเป็นสัตว์ที่ใช้เวลานอนวันละประมาณ 18-20 ชั่วโมง เหตุที่โคอาล่าขี้เซาขนาดนั้นเพราะโคอาล่ากินใบยูคาลิปตัสเป็นอาหาร ในใบยูคาลิปตัสเป็นน้ำมันทำให้โคอาล่าเมาก็เลยง่วงเหงาหาวนอนตลอดทั้งวัน แต่เห็นเซื่องๆ อย่างนี้ โคอาล่าก็มีอาวุธป้องกันตัวคือ เล็บ ส่วนใหญ่ชอบใช้ชีวิตอยู่บนต้นไม้เพื่อป้องกันตัวจากสัตว์ใหญ่ แต่หากใครมาป่วนโคอาล่าก็ข่วนแหลกเหมือนกัน!!
ปิดท้ายความสนุกกันที่พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง Madam Tussauds ซึ่งรวบรวมผู้มีชื่อเสียงระดับโลกและออสเตรเลียไว้ให้เราได้ไปโพสท่าถ่ายรูปคู่ ขอบอกว่าคนที่มีอารมณ์ขันและชอบถ่ายรูป ถ้ามาเที่ยวในมาดามทุสโซที่นี่จะสนุกมาก เพราะเขาจะมีพร็อพให้ยืมใช้ถ่ายรูปคู่กับบุคคลที่มีชื่อเสียง เราสามารถเป็นหนึ่งในแดนเซอร์ของเลดี้ กาก้า หรือจะนั่งให้สัมภาษณ์อยู่ในรายการของ “โอปราห์ วินฟรีย์” ก็เริ่ดดี
แน่นอนว่าเรื่องของอาหารการกินสำหรับคนไทยแล้วไม่ว่าจะไปที่ไหน ต่อให้อาหารบ้านเมืองนั้นอร่อยยังไง ใจก็คิดถึงอาหารไทยอยู่ดี การมาซิดนีย์ครั้งนี้เรามีโอกาสไปกินอาหารไทยที่ร้าน Alice Thai ที่ตั้งอยู่บนถนน Oxford นอกจากรสชาติอาหารที่ทำให้เราหายคิดถึงบ้านแล้ว เรายังดี๊ด๊าที่ได้รู้ว่าย่านออกซฟอร์ดสตรีตเป็นแหล่งท่องเที่ยวยามราตรีของพวกรักร่วมเพศ ฉะนั้น ไม่ว่าจะบาร์หรือร้านอาหารจะเป็นของคนกลุ่มนี้มีกระจายอยู่ทั่วไป น่าเสียดายที่เราไปในเวลากลางวันที่นี่ยังไม่คึกคักเท่าไหร่ มิอย่างนั้นเราคงจะได้ประสบการณ์เที่ยวบาร์เกย์มาเล่าให้ฟังกัน ซึ่งบาร์เกย์ที่นี่มีการจดทะเบียนอย่างถูกกฎหมาย ฉะนั้นเรื่องความปลอดภัยก็น่าจะวางใจได้
ในที่สุดเวลาที่เรารอคอยก็มาถึง เรากำลังเดินทางไปสู่สัญลักษณ์สำคัญของเมืองซิดนีย์ นั่นก็คือ ซิดนีย์ โอเปรา เฮาส์ โดยจุดสตาร์ทอยู่ที่ ท่าเรือเซอร์คูล่าคีย์ (Circular Quay) ซึ่งเป็นท่าจอดเรือขนาดใหญ่ของเมืองซิดนีย์ เพื่อเตรียมตัวลงเรือชมทัศนียภาพความงามของเวิ้งอ่าวซิดนีย์ ท่ามกลางแสงตะวันและทะเลสีครามบรรยากาศอันสดชื่น ผ่านความยิ่งใหญ่ของสะพานฮาร์เบอร์ที่เชื่อมโยงเส้นทางสู่นอร์ทซิดนีย์ และชมโรงละครโอเปรา เฮาส์ สถาปัตยกรรมร่วมสมัยอันเป็นสัญลักษณ์ของออสเตรเลียที่องค์การยูเนสโกได้ประกาศให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม การล่องเรือนั้นทำให้เราสามารถมองเห็นโอเปรา เฮาส์ ได้อย่างชัดเจนและเก็บถ่ายภาพที่ระลึกกับสะพานฮาร์เบอร์บริดจ์ และอ่าวอันสวยงามของซิดนีย์แบบเต็มอิ่มทุกช็อต
สำหรับความเป็นมาของโรงละครโอเปราซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้นั้น คุณไกด์บอกกับเราว่าผู้ออกแบบโรงละครแห่งนี้คือนายยอร์น อูเซน เป็นสถาปนิกชาวเดนนิช ได้ออกแบบผลงานจนชนะเลิศการประกวดการออกแบบทั่วโลก โอเปรา เฮาส์มีความโดดเด่นอยู่ที่ดีไซน์โครงสร้างหลังคาที่ดูแปลกตาด้วยรูปทรงคล้ายใบเรือซ้อนไล่ๆ กันมาเหมือนคลื่นหน้าจั่วสูง 220 ฟุต ใช้เวลาก่อสร้างถึง 19 ปี จนกลายเป็นสัญลักษณ์ที่สวยงามของเมืองซิดนีย์แห่งนี้ ที่เราพยายามเก็บภาพไว้ในความทรงจำให้มากที่สุดก่อนที่เราจะต้องเดินทางกลับเมืองไทยในวันถัดไป
ดูเหมือนความประทับใจใกล้จะหมดเวลาแล้ว ในค่ำวันสุดท้ายของซิดนีย์ ทางซิซซ์เล่อร์จึงพาเราไปนั่งรับประทานอาหารค่ำแบบซีฟูดบนซิดนีย์ ทาวเวอร์ อายที่หมุนแบบ 360 องศา ให้ชมความงามยามค่ำคืนของเมืองซิดนีย์อย่างจุใจ…เฮ้อ ใกล้ถึงเวลาโบกมือลาซิดนีย์แล้วหรือนี่ ฉันคิดในใจระหว่างชมวิวยามค่ำคืน…เมื่อถึงเวลากลับโรงแรมเพื่อเก็บข้าวของ เราลงมาจากยอดหอคอยและพบกับรถลีมูซีน 3 คันจอดเรียงรายอยู่อีกฟากของถนน ยังเมาท์กับเพื่อนร่วมทริปว่า โอ้โห! เศรษฐีที่ไหนมาแวะกินข้าวแถวนี้เนี่ย!?
ขณะที่เรากำลังหัวเราะกันเสียงดัง พี่ธงชัย จากการท่องเที่ยวออสเตรเลีย ซึ่งเดินทางไปกับเราในครั้งนี้ด้วยก็เดินมาบอกว่าเราไปขอถ่ายรูปกับรถกันเถอะ คนไทยนิสัยชอบถ่ายรูปอย่างเราไม่รอช้าเข้าไปเจรจากับการ์ดตัวใหญ่ที่ยืนประจำรถทันที แต่จู่ๆ พี่ธงชัยและพี่จุ๊บ (ผู้บริหารของซิซซ์เล่อร์ (ประเทศไทย) ก็เปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ พร้อมกับเรียกพวกเราให้ขึ้นรถมา ทุกคนได้แต่..งง..เป็นไก่ตาแตก ว่าคุณพี่กล้าขึ้นไปนั่งได้อย่างไรทั้งที่การ์ดร่างใหญ่ก็ยืนอยู่ตรงนั้น! ก่อนที่ทีมงานซิซซ์เล่อร์ทุกคนจะพูดพร้อมกันว่า “Surprise!!” ทำให้คืนนั้นเป็นประสบการณ์ครั้งแรกในชีวิตที่ได้นั่งจิบแชมเปญบนรถลีมูซีนคันหรู ชมสีสันยามราตรีของซิดนีย์ เป็นความประทับใจที่ทุกคนไม่อยากก้าวลงจากรถเมื่อถึงปลายทางเลยทีเดียว!
ถ้าหากการมาเที่ยวทริปนี้กับซิซซ์เล่อร์เป็นความฝัน ก็คงเป็นฝันที่เราไม่อยากตื่นจากความประทับใจนั้นเลย แต่นั่นคือประสบการณ์การเดินทางจริงที่ซิซซ์เล่อร์มอบให้กับลูกค้าผู้โชคดีที่สุดแสนประทับใจ และคงจะเป็นความตราตรึงอยู่ในใจไปอีกแสนนาน “I love Sydney
Something About Sydney
:: ดาร์ลิ่ง ฮาร์เบอร์ เดิมเป็นโกดังเก่าๆ แต่เทศบาลได้รื้อและปรับปรุงมาเป็นย่านชอปปิ้ง ซึ่งปัจจุบันนี้ดาร์ลิ่ง ฮาร์เบอร์ถูกปรับปรุงเป็นฮาร์เบอร์ไซด์ชอปปิ้งเซ็นเตอร์ (Habourside Shopping Center) ศูนย์เอนเตอร์เทนเมนต์ จัดงานนิทรรศการใหญ่ๆ ครบวงจร
:: วันอาทิตย์เป็นวันแฟมิลีเดย์ พ่อแม่จะพาลูกออกไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ เพราะเด็กจะได้รับการยกเว้นค่าเข้าชมรวมถึงใช้บริการระบบขนส่งมวลชนฟรีอีกด้วย
:: ซิดนีย์ ทาวเวอร์ มีบันไดทั้งหมด 1,504 ขั้น ใช้เวลาสร้างทั้งหมด 6 ปี คือตั้งแต่ปี 1975 และเปิดให้เข้าชมในเดือนกันยายน 1981 เป็นอาคารที่มีลักษณะหอคอยสูงเป็นอันดับ 4 ของโลก
:: ของฝากจากออสเตรเลียส่วนใหญ่จะเป็นเสื้อผ้าแบรนด์ ROXY, BILLABONG, SURF GRIL หรือจะเป็นสินค้าพื้นเมืองของประเทศออสเตรเลีย อาทิ ลาโนลินครีม ครีม David Jones หรือวิตามิน :: Text by FLASH
>> อัปเดตข่าวในแวดวงสังคม กอสซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ http://www.celeb-online.net และ ติดตาม CelebStagram ได้ที่ http://www.manager.co.th/celebonline/celebstagram/